วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

[Fan Fiction TOG] Bad Innocence.

Fan Fiction Tower of God. [ToG]

Pairing : Koon x Baam

Rate : PG-13

Talk Chil2 : เพิ่งหัดโพสลงบล็อกครั้งแรกค่ะ ถ้าหากผิดพลาดอะไรก็ขออภัยด้วยนะคะ ฮาา ในส่วนของแฟนฟิคเรื่องนี้เขียนไว้นานพอสมควรค่ะ ทำให้เนื้อหารายละเอียดบางส่วนไม่ได้มีการอัพเดต คือเขียนตอนนั้นก็รู้แค่นั้นเองค่ะ อาจจะผิดพลาดไปบ้างก็ขออภัยด้วยนะคะ ซึ่งฟิคเรื่องนี้เขียนแบบอิงเนื้อหาจริงจากส่วนแปลของคุณ Aquanest นะคะ เนื้อหาเป็นอย่างไรก็สามารถติชมหรือเมาท์กันได้ตามสะดวกค่ะ และต้องขอบคุณที่อุตส่าห์ให้ความสนใจและติดตามนะคะ ^^


Story...


                หอคอย...ไม่เคยสร้างมิตร รอบตัวมีเพียงผลประโยชน์และศัตรู...
                ทว่าการเดิมพันโง่ๆ กลับสร้างมิตรภาพอันสำคัญ...
                สิ่งสำคัญสิ่งนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือพบเจอกับสิ่งใด เขาก็ไม่ยอมให้มันดับสลาย...
                ...แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นดั่งชีวิตของสิ่งสำคัญของเขาก็ตาม...

                เสียงของนาฬิกาบนผนังห้องบ่งบอกเวลายามค่ำที่หลายคนต่างตกอยู่ในห้วงนิทรา ทว่าสำหรับร่างบนเตียงแล้วไม่ว่าจะเวลาใดก็ยังคงหลับใหลไม่ได้สติ แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาได้สองวันแล้วก็ตาม การต่อสู้ที่เกิดขึ้นจากโบนัสเกมที่มีชื่อว่า คราวน์ จากที่เคยคิดว่าชัยชนะอยู่แค่เอื้อม แต่เมื่อสิ่งนั้นปรากฏขึ้นมา ทุกสิ่งที่เคยคิดไว้กลับตาลปัตร อีกทั้งยังส่งผลให้เพื่อนคนสำคัญของเขาได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะนอนไม่ได้สติมาจนถึงขณะนี้

                ...ราเชล...

                ชื่อนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา เขาพยายามนึกทบทวนว่าแบมนั้นมองเห็นสิ่งดีอันใดจากตัวผู้หญิงคนนี้ เพราะสำหรับเขาแล้วความดีทั้งหลายที่เคยคิดไว้ รวมไปถึงความใสซื่อบริสุทธิ์ที่ไม่ทันโลก ทุกสิ่งที่เป็นสีขาวแต่ไม่ว่างเปล่าได้รวมอยู่ในตัวของแบมอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถหาคำตอบได้เลยว่าราเชลมีคุณค่าพอที่จะให้แบมปกป้องจนต้องมานอนไม่ได้สติแบบนี้ตรงไหน เพราะจากการสนทนาช่วงกลางวันระหว่างเขากับราเชลนั้นมีเพียงแค่การขอคำโป้ปดจากเธอเท่านั้น...

                “คนอย่างนายนี่เรียกว่าโง่หรือซื่อดีนะ...” เด็กหนุ่มผมสีฟ้าขาวที่นั่งอยู่ข้างเตียงอดไม่ได้ที่จะพึมพำขึ้นมา ดวงตาสีน้ำเงินจ้องมองร่างบนเตียงอยู่ตลอด เขาแทบจะนับช่วงวินาทีรอให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว แม้ว่าแบมจะรู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว สุดท้ายสิ่งที่เขาสามารถมอบให้ได้กลับมีเพียงแค่คำเท็จจากสตรีคนสำคัญของเจ้าตัว

                “แต่การปกป้องคนอื่นจนได้รับบาดเจ็บแบบนี้มันก็สมกับเป็นนายจริงๆ เลยนะแบม...” คูนเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบาพร้อมกับยื่นมือลูบผ้าพันแผลที่ศีรษะเบาๆ ดวงตาสีน้ำเงินจับจ้องไปยังผ้าพันแผลสีขาวเงียบๆ ก่อนจะไล่สายตาไปตามเรียวนิ้วของตนที่เลื่อนไปเกลี่ยเส้นผมที่ข้างแก้มของแบม เขาลากนิ้วไปตามพวงแก้มนุ่มเรื่อยลงมาถึงคาง และสุดท้ายก็หยุดที่ริมฝีปากเล็ก การใช้เพียงแค่สายตาพิจารณาความนุ่มนิ่มของริมฝีปากกลับไม่เพียงพอต่อความต้องการของจิตใจ ราวกับร่างกายขยับไปตามอำเภอใจของจิตใต้สำนึก เขาแทบไม่รู้ตัวเลยว่าได้ลดกายลงเหนือร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ ขณะนี้สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงแค่การตอบสนองต่อความสงสัยใคร่รู้ และคำตอบจากคำถามที่ได้มาจากการมองเพียงแค่นั้น...

                ลมหายใจแผ่วเบาที่เป่ารดข้างแก้มกับความอบอุ่นอ่อนนุ่มที่ริมฝีปากให้ความรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยนึกฝัน ราวกับสภาพภายนอกที่เป็นใจเนรมิตสายลมให้พัดผ่านกลุ่มเมฆบดบังแสงจันทร์ส่งความมืดสลัวสู่พื้นดิน เขาคิดอยู่เสมอว่าตนเองนั้นเป็นคนที่ใจเย็น สามารถไตร่ตรองและรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ทุกรูปแบบ แต่สำหรับตอนนี้ความสุขุมใจเย็นกลับค่อยๆ ละลายหายไปพร้อมกับสัมผัสอุ่นร้อนที่ริมฝีปาก

                หากทำตามที่ใจปรารถนา...หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นนะ...

                นี่คงเป็นครั้งแรกที่คูนไม่สามารถหาคำตอบล่วงหน้าให้กับสถานการณ์เช่นนี้ได้ ที่ผ่านมาเขาเพียงแค่ทำตามสิ่งที่เห็นและสิ่งที่ควรเป็นไป แต่เขาแทบจะไม่เคยทำตามสัญชาติญาณหรือความตั้งใจของตนเลยซักครั้ง ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกอย่างแท้จริงที่เขาได้เริ่มทำตามอย่างใจนึก ทำนบที่ขวางกั้นเริ่มพังทลายเมื่อความร้อนดั่งเปลวไฟเผาผลาญจากเบื้องลึกเพิ่มสูงขึ้น ความรุนแรงค่อยๆ บดขยี้ความอ่อนนุ่มของริมฝีปากมากขึ้นจนลมหายใจที่เคยผ่อนเป็นจังหวะเริ่มสะดุด และหนักหน่วงขึ้นเพราะความอึดอัด เมื่อสมองคิดถึงหนทางที่จะทำให้อีกฝ่ายหลอมละลายกลับถูกหยุดชะงักลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหากรุนแรงมากเกินไป ไม่ว่าจะทนทานแข็งแรงขนาดไหนย่อมมีวันสูญสลายได้

                ใบหน้าที่ผละออกถูกซ่อนไว้ใต้ความมืดของแสงจันทร์ เสียงหอบหนักเป็นสัญญาณความอดทนที่ใกล้ถึงขีดสุด แต่ถึงกระนั้นก็ตามเมื่อได้ลืมตามองร่างที่ยังคงหลับใหลและกลับมาหายใจเป็นปกติแล้ว เขาก็รีบควบคุมอารมณ์เหล่านั้นให้สงบลง ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนจะหลับตาเคลื่อนตัวลงจากเตียงผู้ป่วยแล้วแนบหน้าลงบนแผ่นอกเพื่อฟังเสียงหัวใจเต้นเงียบๆ

                เขาชอบทุกสิ่งที่เป็นแบมก็จริง...แต่ในขณะเดียวกันเขากลับเกลียดความใสซื่อของแบมไม่น้อยเช่นกัน...

++++++++++++++++++++++++

                “คุณคูน...ฉันฝัน...ว่าแบมยังอยู่ที่นั่น...” เสียงแผ่วหวานที่สั่นเครือดังเพียงกระซิบ แม้ว่าห้องทั้งห้องจะมีอยู่กันแค่สองคน แต่ด้วยสภาวะทางจิตใจบางอย่างคงทำให้หญิงสาวผมทองตรงหน้าหวาดกลัวเกินกว่าจะเล่าความฝันของตนออกมาได้อย่างมั่นใจ ดวงตาสีน้ำเงินหลุบมองคนกล่าว ถ้อยคำบอกเล่ามากมายผ่านเข้าโสตประสาทของเขา แต่เขาไม่คิดจะคล้อยตามหรือเก็บมาใส่ใจเลยซักนิด เพราะสุดท้ายแล้วทุกสิ่งที่ปล่อยผ่านริมฝีปากของสตรีตรงหน้ามีเพียงแค่คำโกหกเท่านั้น

                “...คุณคูน...” แล้วร่างเล็กบอบบางก็เข้าสวมกอดตัวเขาไว้ ใบหน้าหมองเศร้าซบลงกับอกราวกับหวังถ่ายทอดความเศร้าที่กลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตา คูนก้มมองราเชลเงียบๆ ก่อนยกแขนขึ้นโอบไหล่เพื่อปลอบประโลมอีกฝ่าย ทว่ามือขวาที่เคยลูบหลังแผ่วเบากลับยกขึ้นหมายจับลำคอเล็กบางนั่นแล้วบีบให้ขาดอากาศหายใจหรือให้กระดูกแตกยิ่งดี แต่ด้วยสติสุดท้ายที่ฉุดรั้งเอาไว้ทำให้เขาไม่ทำอย่างที่ใจต้องการ สำหรับตอนนิ่งสิ่งที่ควรทำมีแค่ปลอบโยนหญิงสาวให้วางใจเพื่อสานต่อแผนต่อไปที่วางไว้...

                ...ฉันจะทำให้เธอทรมานเสียยิ่งกว่าตายทั้งเป็น...

                การประชุมที่เริ่มขึ้นในเวลาเย็นย่ำ แสงอาทิตย์สุดท้ายที่เกือบจะลาลับขอบฟ้าทำให้ห้องที่ไม่ได้เปิดไฟตกอยู่ในความสลัว เหล่าคนปกติที่ได้รับเลือกรวมไปถึงว่าจ้างมาสำหรับดำเนินแผน “รั้วที่เสร็จสมบูรณ์” ต่างนั่งมองเงียบๆ ราวกับเตรียมใจรับฟังแผนการทั้งหมดจากชายหนุ่มผมขาวฟ้า ดวงตาสีน้ำเงินทอดมองนิ่งๆ มาพร้อมกับรอยยิ้มบางเบาอ่านยาก ถ้อยคำอธิบายแผนการทั้งหมดแม้แรกเริ่มจะฟังดูแล้วเป็นภารกิจที่เสียสละ แต่ในท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่พวกเขาต้องย้ำเตือนลงในจิตใจคือ มิตรภาพจอมปลอมที่มีต่อราเชล...

                “...จงจำไว้เสมอ...ว่าอย่าใหความเห็นอกเห็นใจแก่เธอ อย่าคิดว่าเธอเป็นเพื่อน เพราะซักวันนายต้องกลับมาทำให้เธอร้องไห้ตอนที่ฉันบอกให้ทำ...จงเกลียดชังเธอ เพราะว่า...เธอคือผู้หญิง ที่ฆ่าเพื่อนที่แสนล้ำค่าของฉันไป...”

                ...ฉันขอโทษ...แบม...

+++++++++++++++++++++

                เสียงนกนางนวลดังแว่วอยู่ทั่วบริเวณ เวลาเช้าตรู่เหมาะแก่การออกหากินเพราะฝูงปลาจะขึ้นมารับแสงแดดจากผิวน้ำ ทำให้แหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์มีเหล่าผู้ล่าครอบคลุมอยู่ทั่วพื้นที่ กระท่อมกลางน้ำหลังเล็กเหมาะแก่การนั่งหาปลาสบายๆ ในขณะที่ริมฝั่งมีบ้านพักตากอากาศหลังใหญ่สามารถจุผู้อยู่อาศัยได้ถึงสามสิบคน แสงแดดรำไรส่องผ่านผ้าม่านสีขาวภายในห้องจึงกลายเป็นแสงนวล ความอบอุ่นของแสงแดดมาพร้อมกับอากาศเย็นสบายริมทะเลทำให้เวลานอนรู้สึกสบายมากกว่าปกติ

                ห้องนอนที่มีเพียงแค่ความเงียบมีร่างๆ หนึ่งเคลื่อนกายเข้ามาประชิดเตียง ดวงตาสีน้ำตาลทองที่ซ่อนอยู่ใต้เรือนผมสีน้ำตาลเข้มปรกตาหลุบมองร่างบนเตียงเงียบๆ กระจุกผมสีฟ้าขาวที่โผล่พ้นจากผ้าห่มทำให้ผู้ที่จ้องมองอยู่ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยใจ หลังจากที่ยืนจ้องอยู่ซักพักเขาก็ยื่นมือเขย่าตัวอีกฝ่ายที่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่มเบาๆ

                “คุณคูน...ตื่นได้แล้วนะ ไหนบอกว่าวันนี้มีธุระแต่เช้าไง...”

                “อือ...ขออีกนิดน่า...” คำพูดอู้อี้ลอดผ่านผ้าห่มแทบจับใจความไม่ได้ แต่ด้วยความซื่อกับความเถรตรงแล้ว ถึงอีกฝ่ายจะอิดออดไปซักหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางปลุกขึ้นมาตอนนี้ไม่ได้

                “ไปสายไม่รู้ด้วยนะ ผมขอตัวไปเตรียมอาหารเช้าให้ทุกคนก่อนล่ะ...” สิ้นเสียงร่างที่เคยนอนเกียจคร้านอยู่ใต้ผ้าห่มก็ลุกผลุง ดูจากแววตาก็รู้ว่ายังไม่ได้สติตื่นดีเท่าใดนัก แต่คงเพราะเหตุผลบางประการทำให้คนที่นอนอยู่ จู่ๆ ก็เปลี่ยนใจลุกขึ้นมากะทันหัน ดวงตาสีน้ำเงินง่วงงุนเหลือบมองคนปลุกก่อนเอ่ยขึ้นโดยไม่สนใจเส้นผมสีขาวฟ้าที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงของตน

                “ขอขนมปังเบคอนทอดเกรียมกับไข่ดาวแบบซันไรส์สองฟองด้วยนะแบม...” ประโยคที่ถูกเอ่ยออกมาสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ฟังไม่น้อย แบมกะพริบตาปริบก่อนหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วพยักหน้ารับ

                “ไม่น่าเชื่อว่าคุณคูนจะตื่นเพราะของกินนะครับ...รีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนที่คุณเร็คจะตื่นแล้วกันครับ ไม่อย่างนั้นผมไม่รับประกันว่ามื้อเช้าที่คุณขออาจจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทนได้น่ะ”

                กลิ่นอาหารลอยออกมาจากในครัวประสานกับเสียงกระทบกันของจานกระเบื้องและช้อนส้อม คูนเดินรูดเนคไทของตนไปตามเสียงโดยไม่รีบร้อนนัก ในห้องครัวเขายืนมองแผ่นหลังที่กำลังง่วนอยู่กับมื้อเช้าของคนเกือบยี่สิบคน คาดว่าผู้ช่วยคนอื่นๆ คงจะแยกย้ายกันไปจัดการตัวเองไม่ก็ไปปลุกคนอื่น ทำให้เหลือเพียงแบมที่กำลังจัดอาหารใส่จานเพียงคนเดียว

                “ให้ฉันช่วยมั้ยแบม ?” การขันอาสาสร้างความประหลาดใจให้กับแบมไม่น้อย เหมือนหันไปเห็นรอยยิ้มสดชื่นจากคูนที่เดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำเปล่าใส่แก้วเขาก็ยิ้มน้อยๆ แล้วหันไปจัดอาหารต่อ

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณคูนแต่งตัวเตรียมพร้อมขนาดนั้นแล้ว ถ้าหากมาช่วยผมจัดอาหารก็กลัวว่าจะพลาดเลอะเปล่าๆ...” คูนที่ได้ยินดังนั้นก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ เขาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจแล้วยกแก้วขึ้นดื่มน้ำเย็นให้สมองปลอดโปร่ง

                “เมื่อคืนคงหลับสบายสินะครับ ถึงได้ไม่อยากลุกถึงขนาดนั้น” แบมพูดพลางจัดเรียงจานอาหารให้พร้อมหากว่ามีใครจะรับประทานอาหารเช้าก็สามารถหยิบจานของตัวเองได้เลย คูนเลิกคิ้วเล็กน้อยกับประโยคนั้นก่อนนึกทบทวนกับตัวเอง

                ...หลับสบาย...งั้นเหรอ...

                “ก็...ไม่เชิงนะ ฉันก็แค่ฝันน่ะ...”

                ...ฝันถึงเรื่องที่นายคงไม่อภัยให้ฉันหากรู้ความจริง...

                คำตอบที่ราวกับไม่ใส่ใจมาพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากนั้นทำให้แบมหันมองคู่สนทนาเงียบๆ ดวงตาสีน้ำเงินหลุบมองแก้วน้ำที่ว่างเปล่าเหมือนนึกทบทวนบางสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในใจ แม้ว่าจะไม่ได้รับการบอกเล่าจากบุคคลตรงหน้า แต่แบมก็ยังคงไว้ใจและไม่เอ่ยถามสิ่งใดต่อ คูนที่รู้สึกได้ว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่หันไปมองตามสายตานั้นก็สบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลทองทันที ประกายตาใสที่เต็มไปด้วยคำถามเจ้าตัวกลับเลือกที่จะปิดปากเงียบและจ้องมองเขาเพียงเท่านั้นสร้างความเอ็นดูให้กับคูนจนรู้สึกอยากแกล้ง เขาก้าวเข้าไปประชิดตัวอีกฝ่ายแล้วโน้มใบหน้าแนบริมฝีปากเร็วๆ ผู้ถูกรุกใส่ถึงกับนิ่งค้างอย่างตื่นตะลึง ต่างจากผู้กระทำที่ผละใบหน้าห่างเพียงเล็กน้อยแล้วแย้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

                “แบบนี้...ต้องพูดว่า อรุณสวัสดิ์ ด้วยสินะ ถึงจะครบสูตร...” ฉับพลันใบหน้าขาวก็ขึ้นสีแดงจัด แบมรีบผละถอยทันทีพร้อมกับละล่ำละลักพูดแทบไม่เป็นภาษา

                “พะ...พะ...พูดอะไรน่ะครับคุณคูน ! ละ...แล้วสูตร...” คงเพราะปฏิกิริยาตอบสนองน่ารักแบบนั้นคูนจึงอดไม่ได้ที่จะแกล้งแหย่อีกรอบ เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายมีฝีมือแค่ไหน แต่เขาคงต้องขอคิดเข้าข้างตัวเองซักนิดว่าแบมไม่กล้าทำอะไรรุนแรงกับเขาแน่ๆ...

                เพราะไม่กล้าทำอะไรรุนแรง เขาถึงได้ย่ามใจขนาดนี้...

                “วันนี้มีอะไรกินบ้าง !!!” เสียงทุ้มตะโกนก้องอย่างไม่สนใจใคร ร่างใหญ่ในชุดเกราะปิดบังร่างกาย ส่วนหัวที่เป็นจระเข้อ้าปากกว้างเพื่อส่งเสียงให้ดังเกินความจำเป็น ดวงตาสีแดงมองบุคคลทั้งสองในครัวที่หันมามองตนด้วยสายตาที่แตกต่างกัน คนหนึ่งมองด้วยสายตาตื่นตกใจ ใบหน้าขึ้นสีแดงจัดอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ต่างกับอีกคนที่มองเขาด้วยสายตารำคาญใจสุดๆ จนแทบจะเรียกได้ว่ากลายเป็นความหงุดหงิดราวกับถูกขัดใจอะไรบางอย่าง

                “มีอะไรเจ้าเต่าช้า ? มองข้าด้วยสายตาแบบนั้นหมายความว่าไง ? แล้วนั่นแกกำลังแกล้งเจ้าเต่าดำอยู่เรอะ ! ไม่ได้นะเว้ย ! ถ้าจะแกล้งกันก็ไปแกล้งกันที่อื่น ข้าจะกินข้าวเช้า !!!” คำพูดขวานผ่าซากไม่สนใจใครของเร็คสร้างความหงุดหงิดให้กับคูนเพิ่มอีกหลายเท่าตัว

                “เป็นแค่ไอ้เข้ก็ออกไปหาของกินในน้ำเองสิวะ จะมาถามหาของกินจากแบมทำไม ?”

                “หา ! นั่นแกหาเรื่องเรอะเจ้าเต่า ! เป็นได้แค่เต่าแท้ๆ กล้าลองดีกับข้าคนนี้เรอะ !!!

                “ฉันก็แค่พูดความจริง แกก็หัดยอมรับแล้วไปออกหากินเองให้สมเป็นไอ้เข้หน่อยสิ”

                “ว่าไงนะ !!!!!!

                “โอ๊ย ! พวกนายอีกแล้วเหรอ ! จะทะเลาะก็ไปกันไกลๆ เลยนะยะ วันนี้ฉันต้องรีบไปถ่ายปกนิตยสารแต่เช้านะ แบม ! ช่วยยกจานของฉันมาให้หน่อย เวลาจะไม่มีอยู่แล้ว ! ไอ้เข้นายนี่มันเกะกะขวางประตูจริงๆ !” แอนโดรซีกรีดเสียงร้องอยู่หน้าประตูยิ่งทำให้เสียงทะเลาะในห้องครัวเพิ่มขึ้นมาอีกเสียง ดูท่าว่าหลายๆ คนคงจะตื่นกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่แสนวุ่นวายและน่าหงุดหงิดใจที่ถูกขัดจังหวะในเวลาแบบนี้ แต่มันคงจะดีกว่าถ้าความวุ่นวายนี้มีแบมรวมอยู่ด้วย...

                หอคอย...ไม่เคยให้มิตรภาพ...

                แต่หอคอย...ทำให้ฉันได้เจอกับสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด...


Bad Innocence : End.

3 ความคิดเห็น:

  1. อยากให้เป็นแบบนี้จัง

    ตอบลบ
  2. ฟิคสนุกมากค่ะ อยากให้แต่งต่อไปเรื่อยๆเลยค่ะ

    ตอบลบ
  3. ฟิคสนุกมากค่ะ ชอบ;;-; เเต่จริงๆน้องชื่อว่าพัม(เกาลัด,กลางคืน ในภาษาเกาหลีที่คนเขียนเป็นคนเกาหลีเเละตั้งชื่อน้องขึ้นมาเอง) ไม่ใช่เเบมนะคะ._. เเต่ฟิคสนุกมากจริงๆค่ะ

    ตอบลบ