วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2556

[Fan Fiction TOG] Sensation.

Fan Fiction Tower of God [ToG]

Pairing : Urek x Viole [Baam]

Rate : PG-13

Talk Chil2 : เป็นอีกคู่ที่อวยส่วนตัวมากๆ ค่ะ (เอาง่ายๆ หลงกล้ามอูเร็ค มาชิโน่มากๆ ฮาา) เป็นเนื้อหาที่เขียนไว้นานแล้วเช่นกันค่ะ ทำให้รายละเอียดอาจจะไม่ตรงกับข้อมูลปัจจุบัน ต้องขออภัยด้วยนะคะ เช่นเคยถ้าหามีข้อติชมอะไรก็คอมเมนต์ได้ค่ะ และต้องขอบคุณที่ให้ความสนใจและติดตามนะคะ ^^


Story...



ความบังเอิญที่ได้พบกันเพราะดอกไซแกน่า...
                แสงสว่างรำไรจากพ็อคเก็ตนำทางส่องกระทบประกายตาสีน้ำตาลทองที่จ้องมองโดยมิหลบสายตา
                เรือนผมสีน้ำตาเข้มเกือบดำแม้จะถูกรวบไว้ก็ยังคงทิ้งตัวยาวพริ้วสยายน่าสัมผัส...
                ...สิ่งที่ตราตรึงหาใช่การต่อสู้ที่แลกด้วยความเสียสละ...แต่เป็นสายตาที่แน่วแน่...

                ก๊อกๆ...

                “เฮ้ นี่ตื่นสายอีกแล้วเหรอ ?” เสียงเคาะประตูที่ทำเพื่อแสดงความมีมารยาทเท่านั้น แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ยังคงเปิดเข้ามาโดยไม่รอให้บุคคลในห้องเอ่ยเชื้อเชิญก่อนอยู่ดี ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดสูทสีดำสุดเนี้ยบเดินเข้ามาก่อนส่ายหน้าเล็กน้อย ถึงจะอยู่ในตำแหน่งคนรับใช้คนสนิท แต่ในบางครั้งเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกระอานิสัยเรื่อยเฉื่อยกับเรื่องอื่นนอกจากเรื่องต่อสู้ของคนที่นอนบนเตียง

                ให้ตายสิ...

                “นี่...ตื่นได้แล้วนะครับ...จากที่ผมจะมาตามคุณไปทานอาหารเช้า ตอนนี้ผมต้องตามคุณไปทานอาหารเที่ยงแล้วล่ะครับ” น้ำเสียงเรียบเรื่อยไม่ได้ช่วยให้ผู้ที่นอนนิ่งบนเตียงอย่างเกียจคร้านอยากขยับตัวแต่อย่างใด หลังจากที่ยืนจ้องอยู่ซักพักราวกับร่างใต้ผ้าห่มผืนหนาจะจับสัมผัสได้จึงขยับตัวเปิดผ้าห่มออกแล้วยันตัวขึ้นนั่ง มือแกร่งยกขึ้นปิดปากหาวสื่อเจตนาที่ไม่ต้องการลุกอย่างเต็มเปี่ยม เรือนร่างหนัดแน่นด้วยมัดกล้ามถูกปิดบังท่อนล่างด้วยกางเกงผ้าร่มเพียงตัวเดียวเท่านั้น ดวงตาสีแดงเหลือบมองผู้ทำการปลุกด้วยแววตาผิดหวังอย่างสุดซึ้ง

                “นายนี่มันขัดจังหวะชัดๆ...”

                “ถ้าไม่ขัดจังหวะฝันหวานของคุณ วันนี้คุณก็คงไม่ต้องทานข้าวกันแล้วล่ะครับ” คนขัดจังหวะเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มไม่ใส่ใจ สร้างความเอือมระอาให้กับคนฟังไม่น้อย อูเร็คยกมือขึ้นยีผมสีอ่อนของตัวเองอย่างหงุดหงิดก่อนลุกขึ้นจากเตียงอย่างเสียมิได้

                “นี่ผมไปขัดความฝันแบบไหนของคุณเข้าล่ะครับ ? ถึงได้ทำท่าเสียดายขนาดนั้น...ฝันถึงท่านแพนทามินัม ?” การเดาสุ่มที่เกิดจากข่าวลือไร้มูลทำให้คนฝันอย่างอูเร็คถึงกับทำหน้าเหยเกทันที แม้จะไม่รู้ว่าไปทำอิท่าไหนถึงเกิดข่าวลือแบบนั้นขึ้นมา แต่ด้วยนิสัยแล้วเรื่องพวกนี้กลับกลายเป็นเรื่องไร้สาระมากกว่าที่จะมาเดือดเนื้อร้อนใจที่จะแก้ข่าว

                ขนาดคนที่ถูกพาดพิงยังไม่เคยออกมาร้อนตัวเลยด้วยซ้ำ...

                “แล้วทำไมฉันต้องฝันถึงเจ้านั่นด้วยฟะ...” อูเร็คอดไม่ได้ที่จะพึมพำออกมาด้วยใบหน้าขัดใจ คนถามมองสีหน้านั้นแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย ยังไม่ทันที่จะได้อ้าปากถามอีกครั้งเพื่อคลายความสงสัยสัย มือใหญ่ก็ยกขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน

                “เอาเป็นว่า...ฉันไม่ได้ฝันถึงเจ้านั่น ฉันก็แค่ฝันถึง...เด็กที่น่าสนใจคนหนึ่ง...” คำตอบมาพร้อมรอยยิ้มเห็นเขี้ยวทำให้ผู้ฟังต้องขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัยยิ่งกว่าเดิม แต่เมื่อสายตาไปสะดุดเข้ากับรอยแผลเป็นเล็กๆ ที่ใต้ตาขวาของอีกฝ่าย เพียงแค่นั้นมันสมองอันชาญฉลาดก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้เองทันที

                “นี่คุณฝันถึงนักฆ่าน้อยของ FUG ที่ทิ้งบาดแผลไว้ที่หน้าคุณอย่างนั้นหรือครับ ? คุณนี่นะ...ผูกใจเจ็บกับเรื่องแค่นี้เป็นเด็กๆ ไปได้” แต่ทว่าการผูกเรื่องราวโดยใช้นิสัยของคนฝันเป็นตัวตั้งนั้นทำให้พลาดความจริงไปอีกโข อีกทั้งยังสร้างความไม่พอใจให้กับเจ้าตัวอีกด้วย ดวงตาสีแดงจ้องเขม็งไปยังคนกล่าวจนเขาต้องยกมือยอมแพ้และยื่นเสื้อคลุมให้

                “คิดซะว่าผมคิดผิดไปแล้วกัน แต่คุณนี่ก็ฝันแม่นเหมือนกันนะ เพราะวันนี้ตอนบ่ายคุณยูเจมาขอพบน่ะครับ” อูเร็คที่เดินตามข้ารับใช้คนสนิทพลางสวมเสื้อไปด้วยมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย

                “ยูเจ ? มีเรื่องด่วนอะไรรึเปล่าน่ะ”

                “ด่วนไม่ด่วนผมก็ไม่ทราบหรอกนะครับ แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับคนที่คุณฝันนั่นล่ะ...” เพียงแค่นั้นร่างทั้งร่างถึงกับนิ่งไปทันที ไม่ใช่ความรู้สึกหวาดกลัวจนขยับตัวไม่ได้ แต่เป็นความรู้สึกตื่นเต้นจนกล้ามเนื้อเกร็งไปทั้งตัว ดวงตาสีแดงส่องประกายซ่อนความยินดีไว้ไม่มิด

                เกือบสองปีที่ผ่านมานี้จะเป็นอย่างไรบ้างนะ...นักฆ่าน้อยแห่ง FUG...

+++++++++++++++++++++++++++

                ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนระอุ มีสายลมพัดผ่านช่วยบรรเทาความร้อนให้เป็นระยะ เสียงเสียดสีของกิ่งไม้ใบหญ้ารอบตัวหากเป็นวันที่ต้องพักผ่อนแล้ว การได้นอนใต้ร่มไม้ซักชั่วโมงคงช่วยให้ปลอดโปร่งไม่น้อย แต่ทว่าสำหรับวันนี้กลับไม่ใช่การพักผ่อนอย่างที่คิด หลังจากที่ขึ้นมาถึงชั้นสามสิบของหอคอยได้ซักพัก เขากลับพบกับบุคคลที่ไม่นึกว่าจะได้พบกันอีกครั้ง...

                อูเร็ค มาซิโน่...หัวหน้าแห่งองค์กรปีกพฤกษา...

                ดวงตาสีน้ำตาลทองภายใต้เส้นผมเล็กละเอียดปรกตาพิจารณาฝ่ายตรงข้ามที่คิดยังไงก็ยากที่จะด่วนสรุปให้ว่าเป็นการบังเอิญเจอกันในชั้นนี้ จากการต่อสู้ในภารกิจดอกไซแกน่าเมื่อราวๆ สองปีก่อนนั้นไม่เคยห่างหายไปจากห้วงคำนึงของแบมแม้แต่น้อย ผลการตัดสินที่ค้างคาอาจได้รับความกระจ่างในวันนี้ แต่ถือว่าเป็นเรื่องโชคไม่ดีเลยที่ต้องมาเจอกับบุคคลตรงหน้าในอีกไม่กี่วันก่อนงานเวิร์คช็อป แบทเทิล

                “ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ...นักฆ่าน้อยแห่ง FUG ไม่สิ...ฉันควรเรียกนายว่า วิโอลี่ สินะ” อูเร็คเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาก่อนด้วยรอยยิ้มแสยะ ดวงตาสีแดงที่เปล่งประกายหมายมาดแต่เรื่องต่อสู้ไม่สามารถปิดบังความตื่นเต้นนี้ได้เลย แม้ว่าจะข่มใจไว้มากแค่ไหนก็ตาม

                “คุณมีธุระอะไรกับผม ?” วิโอลี่หรือแบมเอ่ยถามแบบไม่ต้องการประจันหน้ากับอีกฝ่ายนานนัก อูเร็คเลิกคิ้วเล็กน้อยแต่รอยยิ้มมาดมั่นที่มุมปากยังคงไม่คลายตัว

                “ถ้าฉันจะบอกว่าแค่มาทักทายนายจะเชื่อรึเปล่าล่ะ ?”

                “....” คำตอบที่มีเพียงแค่ความเงียบสร้างเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งให้กับคนถาม ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าหากไม่มีความจำเป็นอะไร นักฆ่าน้อยคนนี้ก็คงแทบไม่ปริปากพูดอะไรออกมา ดวงตาสีแดงส่องประกายเจิดจ้าอย่างพึงพอใจกับคนที่อยู่ตรงหน้า

                จะให้จบลงแค่พูดคุยเฉยๆ มันก็น่าเสียดายล่ะนะ...

                “ถ้าหากฉันจะขอชมฝีมือในช่วงสองปีที่ผ่านมานี่ คงจะไม่ว่าอะไรกันนะ” ว่าแล้วอูเร็คก็พุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วที่หนุนเพิ่มด้วยชินซูทันที แบมขยับเท้าเบี่ยงหลบการโจมตีนั้นได้อย่างฉิวเฉียด แต่การวางใจตั้งแต่เริ่มย่อมไม่เกิดผลดี อีกทั้งอีกฝ่ายเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในทุกตำแหน่งแล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว

                พลั่ก !

                แล้วก็เป็นดังคาดทันทีที่แบมเบี่ยงตัวหลบ อีกฝ่ายก็หมุนตัวฟาดขาเข้าใส่อย่างรวดเร็ว แบมที่เดาทางไว้อยู่แล้วจึงสามารถยกแขนขึ้นเพื่อตั้งการ์ด แต่ถึงจะตั้งการ์ดไว้ก็ไม่อาจต้านทานแรงมหาศาลได้ ร่างเล็กกว่าจึงกระเด็นไปด้านข้าง เพื่อไม่ให้เสียเวลาผู้ทำการบุกก็ไล่ตามร่างเล็กนั้นแล้วอัดซ้ำด้วยหมัดของตนทันที

                ตูม !

                เสียงกัมปนาทดังขึ้นไปทั่วบริเวณ โชคดีที่แถวนี้ถือได้ว่าเป็นบริเวณป่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงไม่จำเป็นต้องห่วงว่าจะมีผู้บริสุทธิ์เข้ามาใกล้เหมือนคราวก่อน รอยยิ้มแสยะแย้มกว้างเมื่อสัมผัสได้ถึงการโต้กลับของผู้ที่เป็นรองมาก่อน คลื่นพลังชินซูที่ถูกถ่ายทอดออกจากฝ่ามือเพื่อรองรับแรงโจมตีแผ่ออกเป็นวงกว้างก่อนจะกลับเข้ามารวมกันแล้วยิงคลื่นพลังใส่เพื่อแสดงการโต้ตอบทันที

                “ไม่เบาเหมือนกันนี่นา” การเอ่ยชมที่แสดงถึงความสนุกของอูเร็คแม้จะทำให้แบมรู้สึกไม่ชอบใจนัก แต่ก็ไม่อาจทำอะไรคนคนนี้ได้เท่าไรนัก อูเร็คถอยและเบี่ยงตัวหลบคลื่นพลังของแบมได้สบาย ต่างจากแบมที่พยุงตัวขึ้นมาจากพื้นร่างกายเต็มไปด้วยเศษดินและเศษหญ้า รอยขีดข่วนเล็กๆ ที่ใบหน้าเรียกหยดเลือดสีแดงให้แต่งแต้มพวงแก้มขาวชวนมอง แต่ทว่ามือเล็กกลับยกขึ้นปาดเลือดที่แก้มออก พลางจ้องมองคู่ต่อสู้ด้วยสายตาที่แน่วแน่

                สายตาแบบนี้...ราวกับจะประทับตราตรึงความฝันให้ติดลึกในห้วงคำนึง...

                ไม่รู้ว่าจู่ๆ เขานึกสนุกอะไรขึ้นมา อูเร็คเหยียดยิ้มก่อนเคลื่อนกายด้วยชินซูอย่างรวดเร็ว แต่ครั้งนี้กลับไม่เหมือนครั้งก่อน เพราะร่างที่เคยอยู่ตรงหน้าแบมกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ท่ามกลางความแปลกใจและหวาดระแวงที่เกิดขึ้น สัมผัสแผ่วเบาที่แผ่นหลังเพราะกลุ่มผมที่มัดรวบเอาไว้กลับทิ้งตัวแผ่สยายเต็มหลังจนระใบหน้าด้านข้างของตน ยังไม่ทันจะได้คิดถึงที่มาของสิ่งที่เกิดขึ้น สุ้มเสียงจากเบื้องหลังพลันเรียกเลือดในกายให้เย็นเฉียบ

                “ผมของนายนี่เหมือนผู้หญิงจริงๆ ด้วยนะ ผ่านมาสองปีไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลยหรือไง...” มือใหญ่หยาบกร้านแทรกนิ้วผ่านเรือนผมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำเพื่อสัมผัสสิ่งที่ทำได้แค่เพียงหลับตาฝันแล้วจินตนาการถึงมัน แต่ในเวลานี้สิ่งที่ไม่อาจได้จับต้องจริงๆ มาอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาจึงอดไม่ได้ที่จะห้ามตัวเองไม่ให้พิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ตัวเองเคยคิดไว้...และมันก็สร้างความประทับใจให้กับเขาเป็นล้นพ้น...

                “...!” คำพูดที่ไม่คิดว่าจะได้รับและยังมาพร้อมการสัมผัสแบบนี้ ทำให้ใบหน้ามนที่เคยเผือดสีถึงกับขึ้นสีแดงจัด แบมหมุนตัวพร้อมกับฟาดขาไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าการเคลื่อนไหวนั้นช้าเกินไปที่จะโจมตี อูเร็คก้าวถอยไปด้านหลังได้อย่างทันท่วงทีและจับสังเกตอีกฝ่าย แม้ว่าการโจมตีนั้นรวดเร็ว แต่ด้วยพละกำลังและความเร็วที่เคยเห็นก่อนหน้านั้นต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

                อีกไม่นานการต่อสู้นี้ก็จะจบแล้วสินะ...

                อูเร็คอดคิดอย่างเสียดายไม่ได้ เขารู้ได้จากการต่อสู้ว่านักฆ่าน้อยคนนี้มีฝีมือที่พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อต้องมาต่อสู้กับเขาจริงๆ แล้วยังต้องมีการพัฒนาให้มากขึ้นกว่านี้อีก ดูเหมือนว่าอูเร็คจะปล่อยตัวไปกับความคิดมากไปหน่อย จึงเผลอประมาทการโจมตีแบบสายฟ้าแลบของแบม การโถมน้ำหนักตัวทั้งหมดรวมเข้ากับการเสริมพลังความเร็วด้วยชินซู ทำให้อูเร็คเสียหลักล้มหงายหลังนอนแผ่กับพื้นโดยมีคนตัวเล็กกว่านั่งคร่อมทับอยู่บนตัว นิ้วมือเล็กพยายามกำรอบคอใหญ่ด้วยความสั่นเทาเพราะอ่อนแรง

                “ทำได้ดีเหมือนกันนี่” คำเอ่ยชมจากผู้ที่ดูอย่างไรก็เหนือกว่าสร้างความไม่สบอารมณ์ให้กับแบมเงียบๆ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ด้วยความอ่อนแรงที่ต้องปะทะกับคนคนนี้ด้วยชินซูที่หนักหน่วง ร่างกายที่ยังไม่พัฒนาให้ถึงขั้นรับมือกับศึกหนักก็อ่อนล้า ส่งผลต่อระบบประสาททำให้สมองว่างเปล่าจนควบคุมสติได้ยาก ถึงแม้ว่าร่างกายจะไม่ไหว แต่ด้วยพลังใจที่แน่วแน่กลับส่งผ่านทางดวงตาสีน้ำตาลทองที่สบเข้ากับดวงตาสีแดงตรงๆ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำยาวแผ่สยายราวกับจะบดบังใบหน้าของทั้งสองให้พ้นจากสายตาบุคคลภายนอก สำหรับอูเร็คแล้วมันคงเป็นบรรยากาศที่โรแมนติคไม่น้อยหากไม่นับเรื่องการต่อสู้ที่ทุ่มกันแบบแทบแลกด้วยชีวิตของอีกฝ่าย

                “แล้ว...นายจะทำยังไงต่อล่ะ ? จู วิโอลี่ เกรซ...” การเอ่ยเรียกชื่อเต็มราวกับจะยั่วเย้าอารมณ์เจ้าของชื่อให้ปั่นป่วน แต่ด้วยสติที่เหลืออยู่ทำให้การกระทำเมื่อครู่เป็นศูนย์ไป ขณะนี้แค่จะประคองสติให้คงอยู่ก็เต็มกลืน ทำให้บางสิ่งที่เคยนึกและเก็บซ่อนไว้ส่วนลึกของจิตใจถูกปล่อยผ่านออกมาทางริมฝีปาก

                “...ถ้าหาก...ปีกที่หลังของคุณช่วยพาผมบินไปหาดวงดาวได้...ก็คงจะดี...”

                คำกระซิบที่อ่อนแรงทำให้รอยยิ้มที่เคยประดับอยู่บนใบหน้าหายวับไปทันที ก่อนจะตามมาด้วยน้ำหนักกายทั้งหมดที่ทาบทับอยู่บนร่าง ตอนนี้ร่างเล็กหมดสติไปแล้วและทำได้เพียงนอนคว่ำหน้าอยู่บนร่างที่ใหญ่กว่าด้วยลมหายใจอ่อนแรง อูเร็คนอนฟังเสียงหายใจของอีกฝ่ายเงียบๆ แผ่นอกสามารถรับรู้ถึงการเต้นของหัวใจที่สม่ำเสมอของร่างเล็กบนกายตน เส้นผมยาวสยายแผ่ออกคลอเคลียลำคอและไหล่กว้างไร้อาภรณ์ทำให้รู้สึกจั๊กจี้แปลกๆ เพราะร่างนั้นหมดสติไปแล้วเขาจึงถือวิสาสะเกลี่ยเส้นผมเหล่านั้นและลูบไล้ไปมาด้วยความเผลอไผล

                “แย่จังนะ...ถึงฉันจะมีปีกจริงๆ แต่ฉันก็พานายไปหาดวงดาวไม่ได้หรอก...” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นราวกับจะตอบประโยคก่อนหน้าให้กับอีกฝ่ายฟัง ใบหน้าคร้ามคมขยับมองใบหน้าเล็กที่หนุนไหล่ตัวเองเงียบๆ แล้วเอ่ยสำทับขึ้นมาอีกครั้ง...

                “แต่ถ้านายอยากใช้ปีกของฉันพาออกไปหาดวงดาวที่แท้จริงนอกหอคอยล่ะก็...ฉันยินดีเลยล่ะ”

+++++++++++++++++++++++

                ความเงียบกับอากาศเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศภายในสำนักงานแทนที่จะสร้างความสุขสบายให้กับผู้อาศัย แต่ขณะนี้มันกลับกลายเป็นตัวเสริมบรรยากาศมาคุชวนอึดอัดจากชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสุดเนี้ยบ ดวงตาเฉียบคมจ้องมองผู้นำของกลุ่มที่ทำเป็นนั่งเล่นกับลูกไซแกน่าน้อยที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานราวกับหนีสายตาจากข้ารับใช้คนสนิทที่ดูยังไงหลังๆ กลับเริ่มทำตัวเป็นเจ้าชีวิตขึ้นเรื่อยๆ

                “คุณท่านอูเร็ค มาซิโน่ครับ...”

                เรียกกันเต็มยศแบบนี้...ไม่แคล้วหงุดหงิดเหมือนโลกจะแตกแหงแซะ...

                “อ้า ! ว่าไงๆ มีงานด่วนอะไรเข้ามาล่ะ ? หรือว่ายูเจมาขอพบฉันอีก ?” ท่าทางแสร้งทำเป็นสนใจงานการสร้างความหงุดหงิดให้กับคนเรียกมากกว่าเดิม คลาดสายตาไปหน่อยเดียว ข่าวล่ามาไวจากสายสืบประจำตัวของตนก็คาบข่าวที่เรียกได้ว่าเหนือความคาดหมายยิ่งกว่าเรื่องก่อนๆ เสียด้วยซ้ำ

                “นี่คุณเป็นพวกตาเฒ่าที่ชื่นชอบการเลี้ยงเด็กไว้ในปกครองตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”

                “หะ...หา !!! ใครที่ไหนมันพูดแบบนั้นฟะ ! เรื่องบ้าๆ แบบนี้ทำให้ฉันเสื่อมเสียได้เลยนะเฮ้ย !!!” อูเร็คถึงกับลุกขึ้นยืนโวยวายลั่นห้อง ชายหนุ่มที่ยืนมองอยู่มองอีกฝ่ายที่โวยวายคลุ้มคลั่งด้วยใบหน้านิ่งสนิท คิ้วเรียวเลิกขึ้นเพียงแค่เล็กน้อยเมื่อได้ข้อสรุปในใจ

                ทีเรื่องของตัวเองกับท่านแพนทามินัมไม่เคยเห็นจะโวยวายแบบนี้...นี่คงจะนิยมเลี้ยงเด็กจริงๆสินะ

                “ถ้าหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ผมเชื่อเลยว่าคุณต้องได้คำล้อใหม่แน่ๆ...อูเร็คเลี้ยงต้อย...” ว่าแล้วคนทิ้งระเบิดก็หมุนตัวเดินออกจากห้องทำงานทันที ไม่แม้แต่จะสนใจสีหน้าตะลึงค้างของผู้เป็นนายที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง...

+++++++++++++++++++

                “นี่ๆ รู้รึเปล่า ตอนนี้เค้ามีข่าวลือแปลกๆ ของอูเร็ค มาซิโน่ด้วยล่ะ” วังนังโพล่งขึ้นมาหลังจากกลับจากซื้อของที่ตลาดกับปรินซ์และโฮรัง

                “เอ๋ ? ข่าวลืออะไรเหรอ ?” ยีฮวาที่กำลังดูโทรทัศน์อยู่รีบหรี่เสียงแล้วหันไปหาวังนังทันที ชายหนุ่มผมทองทำท่าราวกับเป็นผู้รู้เสียเต็มประดายืดอกขึ้น แล้วกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม

                “เห็นเค้าว่ากันว่า อูเร็ค มาซิโน่ตอนนี้กลายเป็นตาเฒ่าเลี้ยงเด็กหนุ่มไปซะแล้วล่ะ โอ๊ย ! ฉันล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นใคร จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายดีนะที่ได้เป็นข่าวกับ อูเร็ค มาซิโน่ ผู้โด่งดังคนนั้นน่ะ ฮ่าๆ ! อ่ะ...อ้าว ? แล้วนั่นนายจะไปไหนน่ะวิโอลี่ ?” วังนังมองตามคนที่เดินหนีออกจากห้องนั่งเล่นเป็นคนแรกโดยไม่สนใจเสียงที่เอ่ยรั้งตนจากข้างหลังแม้แต่น้อย...


Sensation : End.

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2556

[Fan Fiction TOG] Bad Innocence.

Fan Fiction Tower of God. [ToG]

Pairing : Koon x Baam

Rate : PG-13

Talk Chil2 : เพิ่งหัดโพสลงบล็อกครั้งแรกค่ะ ถ้าหากผิดพลาดอะไรก็ขออภัยด้วยนะคะ ฮาา ในส่วนของแฟนฟิคเรื่องนี้เขียนไว้นานพอสมควรค่ะ ทำให้เนื้อหารายละเอียดบางส่วนไม่ได้มีการอัพเดต คือเขียนตอนนั้นก็รู้แค่นั้นเองค่ะ อาจจะผิดพลาดไปบ้างก็ขออภัยด้วยนะคะ ซึ่งฟิคเรื่องนี้เขียนแบบอิงเนื้อหาจริงจากส่วนแปลของคุณ Aquanest นะคะ เนื้อหาเป็นอย่างไรก็สามารถติชมหรือเมาท์กันได้ตามสะดวกค่ะ และต้องขอบคุณที่อุตส่าห์ให้ความสนใจและติดตามนะคะ ^^


Story...


                หอคอย...ไม่เคยสร้างมิตร รอบตัวมีเพียงผลประโยชน์และศัตรู...
                ทว่าการเดิมพันโง่ๆ กลับสร้างมิตรภาพอันสำคัญ...
                สิ่งสำคัญสิ่งนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือพบเจอกับสิ่งใด เขาก็ไม่ยอมให้มันดับสลาย...
                ...แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นดั่งชีวิตของสิ่งสำคัญของเขาก็ตาม...

                เสียงของนาฬิกาบนผนังห้องบ่งบอกเวลายามค่ำที่หลายคนต่างตกอยู่ในห้วงนิทรา ทว่าสำหรับร่างบนเตียงแล้วไม่ว่าจะเวลาใดก็ยังคงหลับใหลไม่ได้สติ แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาได้สองวันแล้วก็ตาม การต่อสู้ที่เกิดขึ้นจากโบนัสเกมที่มีชื่อว่า คราวน์ จากที่เคยคิดว่าชัยชนะอยู่แค่เอื้อม แต่เมื่อสิ่งนั้นปรากฏขึ้นมา ทุกสิ่งที่เคยคิดไว้กลับตาลปัตร อีกทั้งยังส่งผลให้เพื่อนคนสำคัญของเขาได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะนอนไม่ได้สติมาจนถึงขณะนี้

                ...ราเชล...

                ชื่อนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา เขาพยายามนึกทบทวนว่าแบมนั้นมองเห็นสิ่งดีอันใดจากตัวผู้หญิงคนนี้ เพราะสำหรับเขาแล้วความดีทั้งหลายที่เคยคิดไว้ รวมไปถึงความใสซื่อบริสุทธิ์ที่ไม่ทันโลก ทุกสิ่งที่เป็นสีขาวแต่ไม่ว่างเปล่าได้รวมอยู่ในตัวของแบมอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถหาคำตอบได้เลยว่าราเชลมีคุณค่าพอที่จะให้แบมปกป้องจนต้องมานอนไม่ได้สติแบบนี้ตรงไหน เพราะจากการสนทนาช่วงกลางวันระหว่างเขากับราเชลนั้นมีเพียงแค่การขอคำโป้ปดจากเธอเท่านั้น...

                “คนอย่างนายนี่เรียกว่าโง่หรือซื่อดีนะ...” เด็กหนุ่มผมสีฟ้าขาวที่นั่งอยู่ข้างเตียงอดไม่ได้ที่จะพึมพำขึ้นมา ดวงตาสีน้ำเงินจ้องมองร่างบนเตียงอยู่ตลอด เขาแทบจะนับช่วงวินาทีรอให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว แม้ว่าแบมจะรู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว สุดท้ายสิ่งที่เขาสามารถมอบให้ได้กลับมีเพียงแค่คำเท็จจากสตรีคนสำคัญของเจ้าตัว

                “แต่การปกป้องคนอื่นจนได้รับบาดเจ็บแบบนี้มันก็สมกับเป็นนายจริงๆ เลยนะแบม...” คูนเอ่ยด้วยรอยยิ้มบางเบาพร้อมกับยื่นมือลูบผ้าพันแผลที่ศีรษะเบาๆ ดวงตาสีน้ำเงินจับจ้องไปยังผ้าพันแผลสีขาวเงียบๆ ก่อนจะไล่สายตาไปตามเรียวนิ้วของตนที่เลื่อนไปเกลี่ยเส้นผมที่ข้างแก้มของแบม เขาลากนิ้วไปตามพวงแก้มนุ่มเรื่อยลงมาถึงคาง และสุดท้ายก็หยุดที่ริมฝีปากเล็ก การใช้เพียงแค่สายตาพิจารณาความนุ่มนิ่มของริมฝีปากกลับไม่เพียงพอต่อความต้องการของจิตใจ ราวกับร่างกายขยับไปตามอำเภอใจของจิตใต้สำนึก เขาแทบไม่รู้ตัวเลยว่าได้ลดกายลงเหนือร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่ ขณะนี้สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงแค่การตอบสนองต่อความสงสัยใคร่รู้ และคำตอบจากคำถามที่ได้มาจากการมองเพียงแค่นั้น...

                ลมหายใจแผ่วเบาที่เป่ารดข้างแก้มกับความอบอุ่นอ่อนนุ่มที่ริมฝีปากให้ความรู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยนึกฝัน ราวกับสภาพภายนอกที่เป็นใจเนรมิตสายลมให้พัดผ่านกลุ่มเมฆบดบังแสงจันทร์ส่งความมืดสลัวสู่พื้นดิน เขาคิดอยู่เสมอว่าตนเองนั้นเป็นคนที่ใจเย็น สามารถไตร่ตรองและรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ทุกรูปแบบ แต่สำหรับตอนนี้ความสุขุมใจเย็นกลับค่อยๆ ละลายหายไปพร้อมกับสัมผัสอุ่นร้อนที่ริมฝีปาก

                หากทำตามที่ใจปรารถนา...หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นนะ...

                นี่คงเป็นครั้งแรกที่คูนไม่สามารถหาคำตอบล่วงหน้าให้กับสถานการณ์เช่นนี้ได้ ที่ผ่านมาเขาเพียงแค่ทำตามสิ่งที่เห็นและสิ่งที่ควรเป็นไป แต่เขาแทบจะไม่เคยทำตามสัญชาติญาณหรือความตั้งใจของตนเลยซักครั้ง ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกอย่างแท้จริงที่เขาได้เริ่มทำตามอย่างใจนึก ทำนบที่ขวางกั้นเริ่มพังทลายเมื่อความร้อนดั่งเปลวไฟเผาผลาญจากเบื้องลึกเพิ่มสูงขึ้น ความรุนแรงค่อยๆ บดขยี้ความอ่อนนุ่มของริมฝีปากมากขึ้นจนลมหายใจที่เคยผ่อนเป็นจังหวะเริ่มสะดุด และหนักหน่วงขึ้นเพราะความอึดอัด เมื่อสมองคิดถึงหนทางที่จะทำให้อีกฝ่ายหลอมละลายกลับถูกหยุดชะงักลงเมื่อนึกขึ้นได้ว่าหากรุนแรงมากเกินไป ไม่ว่าจะทนทานแข็งแรงขนาดไหนย่อมมีวันสูญสลายได้

                ใบหน้าที่ผละออกถูกซ่อนไว้ใต้ความมืดของแสงจันทร์ เสียงหอบหนักเป็นสัญญาณความอดทนที่ใกล้ถึงขีดสุด แต่ถึงกระนั้นก็ตามเมื่อได้ลืมตามองร่างที่ยังคงหลับใหลและกลับมาหายใจเป็นปกติแล้ว เขาก็รีบควบคุมอารมณ์เหล่านั้นให้สงบลง ริมฝีปากเม้มแน่นก่อนจะหลับตาเคลื่อนตัวลงจากเตียงผู้ป่วยแล้วแนบหน้าลงบนแผ่นอกเพื่อฟังเสียงหัวใจเต้นเงียบๆ

                เขาชอบทุกสิ่งที่เป็นแบมก็จริง...แต่ในขณะเดียวกันเขากลับเกลียดความใสซื่อของแบมไม่น้อยเช่นกัน...

++++++++++++++++++++++++

                “คุณคูน...ฉันฝัน...ว่าแบมยังอยู่ที่นั่น...” เสียงแผ่วหวานที่สั่นเครือดังเพียงกระซิบ แม้ว่าห้องทั้งห้องจะมีอยู่กันแค่สองคน แต่ด้วยสภาวะทางจิตใจบางอย่างคงทำให้หญิงสาวผมทองตรงหน้าหวาดกลัวเกินกว่าจะเล่าความฝันของตนออกมาได้อย่างมั่นใจ ดวงตาสีน้ำเงินหลุบมองคนกล่าว ถ้อยคำบอกเล่ามากมายผ่านเข้าโสตประสาทของเขา แต่เขาไม่คิดจะคล้อยตามหรือเก็บมาใส่ใจเลยซักนิด เพราะสุดท้ายแล้วทุกสิ่งที่ปล่อยผ่านริมฝีปากของสตรีตรงหน้ามีเพียงแค่คำโกหกเท่านั้น

                “...คุณคูน...” แล้วร่างเล็กบอบบางก็เข้าสวมกอดตัวเขาไว้ ใบหน้าหมองเศร้าซบลงกับอกราวกับหวังถ่ายทอดความเศร้าที่กลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตา คูนก้มมองราเชลเงียบๆ ก่อนยกแขนขึ้นโอบไหล่เพื่อปลอบประโลมอีกฝ่าย ทว่ามือขวาที่เคยลูบหลังแผ่วเบากลับยกขึ้นหมายจับลำคอเล็กบางนั่นแล้วบีบให้ขาดอากาศหายใจหรือให้กระดูกแตกยิ่งดี แต่ด้วยสติสุดท้ายที่ฉุดรั้งเอาไว้ทำให้เขาไม่ทำอย่างที่ใจต้องการ สำหรับตอนนิ่งสิ่งที่ควรทำมีแค่ปลอบโยนหญิงสาวให้วางใจเพื่อสานต่อแผนต่อไปที่วางไว้...

                ...ฉันจะทำให้เธอทรมานเสียยิ่งกว่าตายทั้งเป็น...

                การประชุมที่เริ่มขึ้นในเวลาเย็นย่ำ แสงอาทิตย์สุดท้ายที่เกือบจะลาลับขอบฟ้าทำให้ห้องที่ไม่ได้เปิดไฟตกอยู่ในความสลัว เหล่าคนปกติที่ได้รับเลือกรวมไปถึงว่าจ้างมาสำหรับดำเนินแผน “รั้วที่เสร็จสมบูรณ์” ต่างนั่งมองเงียบๆ ราวกับเตรียมใจรับฟังแผนการทั้งหมดจากชายหนุ่มผมขาวฟ้า ดวงตาสีน้ำเงินทอดมองนิ่งๆ มาพร้อมกับรอยยิ้มบางเบาอ่านยาก ถ้อยคำอธิบายแผนการทั้งหมดแม้แรกเริ่มจะฟังดูแล้วเป็นภารกิจที่เสียสละ แต่ในท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่พวกเขาต้องย้ำเตือนลงในจิตใจคือ มิตรภาพจอมปลอมที่มีต่อราเชล...

                “...จงจำไว้เสมอ...ว่าอย่าใหความเห็นอกเห็นใจแก่เธอ อย่าคิดว่าเธอเป็นเพื่อน เพราะซักวันนายต้องกลับมาทำให้เธอร้องไห้ตอนที่ฉันบอกให้ทำ...จงเกลียดชังเธอ เพราะว่า...เธอคือผู้หญิง ที่ฆ่าเพื่อนที่แสนล้ำค่าของฉันไป...”

                ...ฉันขอโทษ...แบม...

+++++++++++++++++++++

                เสียงนกนางนวลดังแว่วอยู่ทั่วบริเวณ เวลาเช้าตรู่เหมาะแก่การออกหากินเพราะฝูงปลาจะขึ้นมารับแสงแดดจากผิวน้ำ ทำให้แหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์มีเหล่าผู้ล่าครอบคลุมอยู่ทั่วพื้นที่ กระท่อมกลางน้ำหลังเล็กเหมาะแก่การนั่งหาปลาสบายๆ ในขณะที่ริมฝั่งมีบ้านพักตากอากาศหลังใหญ่สามารถจุผู้อยู่อาศัยได้ถึงสามสิบคน แสงแดดรำไรส่องผ่านผ้าม่านสีขาวภายในห้องจึงกลายเป็นแสงนวล ความอบอุ่นของแสงแดดมาพร้อมกับอากาศเย็นสบายริมทะเลทำให้เวลานอนรู้สึกสบายมากกว่าปกติ

                ห้องนอนที่มีเพียงแค่ความเงียบมีร่างๆ หนึ่งเคลื่อนกายเข้ามาประชิดเตียง ดวงตาสีน้ำตาลทองที่ซ่อนอยู่ใต้เรือนผมสีน้ำตาลเข้มปรกตาหลุบมองร่างบนเตียงเงียบๆ กระจุกผมสีฟ้าขาวที่โผล่พ้นจากผ้าห่มทำให้ผู้ที่จ้องมองอยู่ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยใจ หลังจากที่ยืนจ้องอยู่ซักพักเขาก็ยื่นมือเขย่าตัวอีกฝ่ายที่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่มเบาๆ

                “คุณคูน...ตื่นได้แล้วนะ ไหนบอกว่าวันนี้มีธุระแต่เช้าไง...”

                “อือ...ขออีกนิดน่า...” คำพูดอู้อี้ลอดผ่านผ้าห่มแทบจับใจความไม่ได้ แต่ด้วยความซื่อกับความเถรตรงแล้ว ถึงอีกฝ่ายจะอิดออดไปซักหน่อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางปลุกขึ้นมาตอนนี้ไม่ได้

                “ไปสายไม่รู้ด้วยนะ ผมขอตัวไปเตรียมอาหารเช้าให้ทุกคนก่อนล่ะ...” สิ้นเสียงร่างที่เคยนอนเกียจคร้านอยู่ใต้ผ้าห่มก็ลุกผลุง ดูจากแววตาก็รู้ว่ายังไม่ได้สติตื่นดีเท่าใดนัก แต่คงเพราะเหตุผลบางประการทำให้คนที่นอนอยู่ จู่ๆ ก็เปลี่ยนใจลุกขึ้นมากะทันหัน ดวงตาสีน้ำเงินง่วงงุนเหลือบมองคนปลุกก่อนเอ่ยขึ้นโดยไม่สนใจเส้นผมสีขาวฟ้าที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงของตน

                “ขอขนมปังเบคอนทอดเกรียมกับไข่ดาวแบบซันไรส์สองฟองด้วยนะแบม...” ประโยคที่ถูกเอ่ยออกมาสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ฟังไม่น้อย แบมกะพริบตาปริบก่อนหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วพยักหน้ารับ

                “ไม่น่าเชื่อว่าคุณคูนจะตื่นเพราะของกินนะครับ...รีบจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนที่คุณเร็คจะตื่นแล้วกันครับ ไม่อย่างนั้นผมไม่รับประกันว่ามื้อเช้าที่คุณขออาจจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทนได้น่ะ”

                กลิ่นอาหารลอยออกมาจากในครัวประสานกับเสียงกระทบกันของจานกระเบื้องและช้อนส้อม คูนเดินรูดเนคไทของตนไปตามเสียงโดยไม่รีบร้อนนัก ในห้องครัวเขายืนมองแผ่นหลังที่กำลังง่วนอยู่กับมื้อเช้าของคนเกือบยี่สิบคน คาดว่าผู้ช่วยคนอื่นๆ คงจะแยกย้ายกันไปจัดการตัวเองไม่ก็ไปปลุกคนอื่น ทำให้เหลือเพียงแบมที่กำลังจัดอาหารใส่จานเพียงคนเดียว

                “ให้ฉันช่วยมั้ยแบม ?” การขันอาสาสร้างความประหลาดใจให้กับแบมไม่น้อย เหมือนหันไปเห็นรอยยิ้มสดชื่นจากคูนที่เดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำเปล่าใส่แก้วเขาก็ยิ้มน้อยๆ แล้วหันไปจัดอาหารต่อ

                “ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณคูนแต่งตัวเตรียมพร้อมขนาดนั้นแล้ว ถ้าหากมาช่วยผมจัดอาหารก็กลัวว่าจะพลาดเลอะเปล่าๆ...” คูนที่ได้ยินดังนั้นก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ เขาพยักหน้ารับอย่างเข้าใจแล้วยกแก้วขึ้นดื่มน้ำเย็นให้สมองปลอดโปร่ง

                “เมื่อคืนคงหลับสบายสินะครับ ถึงได้ไม่อยากลุกถึงขนาดนั้น” แบมพูดพลางจัดเรียงจานอาหารให้พร้อมหากว่ามีใครจะรับประทานอาหารเช้าก็สามารถหยิบจานของตัวเองได้เลย คูนเลิกคิ้วเล็กน้อยกับประโยคนั้นก่อนนึกทบทวนกับตัวเอง

                ...หลับสบาย...งั้นเหรอ...

                “ก็...ไม่เชิงนะ ฉันก็แค่ฝันน่ะ...”

                ...ฝันถึงเรื่องที่นายคงไม่อภัยให้ฉันหากรู้ความจริง...

                คำตอบที่ราวกับไม่ใส่ใจมาพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากนั้นทำให้แบมหันมองคู่สนทนาเงียบๆ ดวงตาสีน้ำเงินหลุบมองแก้วน้ำที่ว่างเปล่าเหมือนนึกทบทวนบางสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในใจ แม้ว่าจะไม่ได้รับการบอกเล่าจากบุคคลตรงหน้า แต่แบมก็ยังคงไว้ใจและไม่เอ่ยถามสิ่งใดต่อ คูนที่รู้สึกได้ว่ากำลังถูกจ้องมองอยู่หันไปมองตามสายตานั้นก็สบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลทองทันที ประกายตาใสที่เต็มไปด้วยคำถามเจ้าตัวกลับเลือกที่จะปิดปากเงียบและจ้องมองเขาเพียงเท่านั้นสร้างความเอ็นดูให้กับคูนจนรู้สึกอยากแกล้ง เขาก้าวเข้าไปประชิดตัวอีกฝ่ายแล้วโน้มใบหน้าแนบริมฝีปากเร็วๆ ผู้ถูกรุกใส่ถึงกับนิ่งค้างอย่างตื่นตะลึง ต่างจากผู้กระทำที่ผละใบหน้าห่างเพียงเล็กน้อยแล้วแย้มรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

                “แบบนี้...ต้องพูดว่า อรุณสวัสดิ์ ด้วยสินะ ถึงจะครบสูตร...” ฉับพลันใบหน้าขาวก็ขึ้นสีแดงจัด แบมรีบผละถอยทันทีพร้อมกับละล่ำละลักพูดแทบไม่เป็นภาษา

                “พะ...พะ...พูดอะไรน่ะครับคุณคูน ! ละ...แล้วสูตร...” คงเพราะปฏิกิริยาตอบสนองน่ารักแบบนั้นคูนจึงอดไม่ได้ที่จะแกล้งแหย่อีกรอบ เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายมีฝีมือแค่ไหน แต่เขาคงต้องขอคิดเข้าข้างตัวเองซักนิดว่าแบมไม่กล้าทำอะไรรุนแรงกับเขาแน่ๆ...

                เพราะไม่กล้าทำอะไรรุนแรง เขาถึงได้ย่ามใจขนาดนี้...

                “วันนี้มีอะไรกินบ้าง !!!” เสียงทุ้มตะโกนก้องอย่างไม่สนใจใคร ร่างใหญ่ในชุดเกราะปิดบังร่างกาย ส่วนหัวที่เป็นจระเข้อ้าปากกว้างเพื่อส่งเสียงให้ดังเกินความจำเป็น ดวงตาสีแดงมองบุคคลทั้งสองในครัวที่หันมามองตนด้วยสายตาที่แตกต่างกัน คนหนึ่งมองด้วยสายตาตื่นตกใจ ใบหน้าขึ้นสีแดงจัดอย่างคนทำอะไรไม่ถูก ต่างกับอีกคนที่มองเขาด้วยสายตารำคาญใจสุดๆ จนแทบจะเรียกได้ว่ากลายเป็นความหงุดหงิดราวกับถูกขัดใจอะไรบางอย่าง

                “มีอะไรเจ้าเต่าช้า ? มองข้าด้วยสายตาแบบนั้นหมายความว่าไง ? แล้วนั่นแกกำลังแกล้งเจ้าเต่าดำอยู่เรอะ ! ไม่ได้นะเว้ย ! ถ้าจะแกล้งกันก็ไปแกล้งกันที่อื่น ข้าจะกินข้าวเช้า !!!” คำพูดขวานผ่าซากไม่สนใจใครของเร็คสร้างความหงุดหงิดให้กับคูนเพิ่มอีกหลายเท่าตัว

                “เป็นแค่ไอ้เข้ก็ออกไปหาของกินในน้ำเองสิวะ จะมาถามหาของกินจากแบมทำไม ?”

                “หา ! นั่นแกหาเรื่องเรอะเจ้าเต่า ! เป็นได้แค่เต่าแท้ๆ กล้าลองดีกับข้าคนนี้เรอะ !!!

                “ฉันก็แค่พูดความจริง แกก็หัดยอมรับแล้วไปออกหากินเองให้สมเป็นไอ้เข้หน่อยสิ”

                “ว่าไงนะ !!!!!!

                “โอ๊ย ! พวกนายอีกแล้วเหรอ ! จะทะเลาะก็ไปกันไกลๆ เลยนะยะ วันนี้ฉันต้องรีบไปถ่ายปกนิตยสารแต่เช้านะ แบม ! ช่วยยกจานของฉันมาให้หน่อย เวลาจะไม่มีอยู่แล้ว ! ไอ้เข้นายนี่มันเกะกะขวางประตูจริงๆ !” แอนโดรซีกรีดเสียงร้องอยู่หน้าประตูยิ่งทำให้เสียงทะเลาะในห้องครัวเพิ่มขึ้นมาอีกเสียง ดูท่าว่าหลายๆ คนคงจะตื่นกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่แสนวุ่นวายและน่าหงุดหงิดใจที่ถูกขัดจังหวะในเวลาแบบนี้ แต่มันคงจะดีกว่าถ้าความวุ่นวายนี้มีแบมรวมอยู่ด้วย...

                หอคอย...ไม่เคยให้มิตรภาพ...

                แต่หอคอย...ทำให้ฉันได้เจอกับสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด...


Bad Innocence : End.